Dnb Thailand
หากคุณอยู่ในแวดวงของคนทำธุรกิจ แล้วได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างธุรกิจ จะทราบดีว่าประเด็นสำคัญของการทำธุรกิจให้ยั่งยืนในช่วงปีนี้คือเรื่องสิ่งแวดล้อม (Environment) ธุรกิจใดลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ หรือ Environmentally Friendly ได้มากที่สุดจะมีคะแนนที่สูงกว่าคนอื่น ยิ่งถ้าหากการจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของธุรกิจคำนึงถึงทั้งสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ได้พร้อมกันจะถูกมองว่าเป็นธุรกิจที่ยั่งยืน และสามารถจัดการกับเสี่ยงได้ดีกว่าคนอื่น
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่าน ESG ถึงได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากในธุรกิจ สู่การสร้างห่วงโซ่อุปทานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่ขั้นตอนการจัดหาวัตถุดิบในการผลิต การผลิต การขนส่ง ไปจนถึงการส่งมอบสินค้าไปยังลูกค้า เนื่องจากความตระหนักรู้ที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับประเด็นด้านความยั่งยืนและความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ
การจัดการกับความเสี่ยง ESG ในห่วงโซ่อุปทานจึงถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับบริษัทต่าง ๆ ในการลดความเสี่ยงด้านชื่อเสียง การดำเนินงาน และการเงิน ตลอดจนปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านกฎระเบียบและความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
ต่อไปนี้เป็นความเสี่ยง ESG ที่ธุรกิจควรพิจารณาในห่วงโซ่อุปทาน :
- ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Risks)
- การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ : ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นประเด็นของโลก การสูญเสียทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด และเหตุการณ์สภาพอากาศที่รุนแรง อาจส่งผลกระทบต่อขั้นตอนการดำเนินงานของห่วงโซ่อุปทาน เช่น การหยุดชะงักในการขนส่งและการผลิต เป็นต้น
- การขาดแคลนทรัพยากร : ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับความพร้อมและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน เช่น การขาดแคลนน้ำ การตัดไม้ทำลายป่า และการสูญเสียแร่ธาตุ อาจส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิตและการจัดหา ดังนั้นเราจะเห็นว่าแหล่งผลิตหลาย ๆ ที่มีการปลูกต้นไม้เพื่อทดแทนกับการใช้ทรัพยากรที่ผ่านมา
- การจัดการของเสีย: สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญของแหล่งผลิต ต้องมีการกำจัด และการรีไซเคิลของเสีย ซึ่งเกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตที่ไม่มีประสิทธิภาพและแนวทางปฏิบัติในการจัดการของเสียที่ไม่เหมาะสม
การที่ธุรกิจโฟกัสกับความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมได้ จะทำให้ธุรกิจสามารถจัดการแหล่งผลิตได้อย่างเป็นระบบและมีคุณภาพ
- ความเสี่ยงทางสังคม (Social Risks)
- การปฏิบัติด้านแรงงาน : ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสิทธิแรงงาน สภาพการทำงาน และการละเมิดสิทธิมนุษยชนในห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงแรงงานเด็ก แรงงานบังคับ และสภาพการทำงานที่ไม่ปลอดภัย เป็นประเด็นที่หน่วยงานและคนทั่วไปต่างจับตามอง
- ความหลากหลายของซัพพลายเออร์ : การขาดความหลากหลายและการไม่แบ่งแยกในห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งอาจขัดขวางนวัตกรรม จำกัดโอกาสทางการตลาด และนำไปสู่ความเสียหายต่อชื่อเสียงได้ ดังนั้นหลายธุรกิจจึงสนับสนุนซัพพลายเออร์ (Supplier) ที่มีคุณภาพและมีความหลากหลาย สามารถเสนอราคาแข่งขันกันได้
- ความสัมพันธ์กับชุมชน : ความเสี่ยงที่เกิดจากผลกระทบด้านลบต่อชุมชนท้องถิ่น เช่น การแทนที่ที่ดิน ความขัดข้องทางวัฒนธรรม และความไม่สงบในสังคม อันเนื่องมาจากกิจกรรมห่วงโซ่อุปทาน นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมธุรกิจต้องลงพื้นที่กับชุมชม และสร้างกิจกรรมที่ดีร่วมกับชุมชน เพราะคนที่จะได้รับผลกระทบจากธุรกิจหรือแหล่งผลิตเป็นอันดับแรกคือชุมชน
- ความเสี่ยงด้านการกำกับดูแล (Governance Risks)
- การดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม : เป็นความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต การติดสินบน การฉ้อโกง และพฤติกรรมที่ผิดจรรยาบรรณภายในห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดบทลงโทษทางกฎหมาย ความสูญเสียทางการเงิน และความเสียหายต่อชื่อเสียงขององค์กร
- ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล (Data Privacy and Security) : ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อนและข้อมูลผู้บริโภค รวมถึงภัยคุกคามความปลอดภัยทางไซเบอร์และการละเมิดข้อมูลภายในห่วงโซ่อุปทาน
- ความโปร่งใสของห่วงโซ่อุปทาน : ความเสี่ยงที่เกิดจากการขาดความโปร่งใสและความรับผิดชอบในห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงการรับเหมาช่วงที่ไม่เปิดเผย ความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ และการไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบ
การขาดความโปร่งใส การมองเห็นธุรกิจ และการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) มีเพียง 13% ของบริษัทที่ระบุว่ามีความสามารถในการติดตามความโปร่งใสในห่วงโซ่อุปทานแบบครบวงจร จากเปอรืเซนต์บริษัทต่างๆ ขาดข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประสิทธิภาพและเป้าหมาย ESG ของซัพพลายเออร์