ในวันที่โลกธุรกิจหมุนด้วยการมีเงินทุนและกำไร ธุรกิจจะมองเห็นความสำคัญของเงินทุนและกำไรเป็นลำดับต้น ๆ ดังนั้นการลงทุนอะไรก็ตามธุรกิจมักคาดหวังว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกลับคืนมา เพื่อนำมาเป็นทุนในการพัฒนาธุรกิจ รวมถึงทำให้นักลงทุนยังตัดสินใจลงทุนในธุรกิจต่อไป
แต่เมื่อธุรกิจอยู่ในโลกปัจจุบันที่พบเจอกับการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา จึงทำให้ธุรกิจต้องเจอกับความท้าทายมากขึ้น อย่างการทำให้นักลงทุนเห็นว่าธุรกิจเป็นธุรกิจที่ยั่งยืน ไม่ใช่แค่มีเงินทุนหรือกำไรเพียงเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการที่ทำธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ตามมาตามหลักความยั่งยืน ซึ่งประกอบไปด้วย ESG คือ สิ่งแวดล้อม (Environmental) Social (สังคม) และ Governance (ธรรมาภิบาล) จะเห็นได้ว่าธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับ ESG จะได้รับความสนใจเป็นพิเศษทั้งจากนักลงทุน (investor) และผู้คน (People)
ผลกระทบที่ธุรกิจต้องเจอ เมื่อลืมนึกถึงความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม, สังคม และธรรมาภิบาล คือธุรกิจต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ ชื่อเสียงและการดำเนินงานได้
การที่ธุรกิจมุ่งประกอบธุรกิจตามแนวคิด ESG นอกจากจะเป็นการลดความเสี่ยงที่อาจขึ้นแล้วยังเป็นการสร้างความรับผิดชอบที่ดีต่อธุรกิจอีกด้วย โดยจะควบคู่ไปกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ SDGs ที่มาเป็นตัวกำหนดทิศทางการพัฒนาครอบคลุมระยะเวลาถึง 15 ปี ซึ่งประกอบไปด้วย 17 เป้าหมายด้วยกัน
ส่วนแนวทางการประกอบธุรกิจด้วยความยั่งยืนตาม ESG ที่เรากล่าวถึงอยู่นี้ คือการที่ธุรกิจหันมาพิจารณาการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า, พิจารณาการบริหารทรัพยากรบุคคลให้มีคุณภาพ และพิจารณากำกับดูแลธุรกิจให้โปร่งใส เพราะปัจจัยเหล่านี้สามารถช่วยลดความเสี่ยงที่ธุรกิจอาจจะต้องเผชิญได้
การที่ทุกคนหันไปโฟกัสที่การทำธุรกิจอย่างยั่งยืน อีกไม่นานนักลงทุนจะใช้ ESG ประกอบการพิจารณาการลงทุนมากขึ้น เนื่องจากการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงความยั่งยืน สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า พร้อมกับมีการสนับสนุนให้บริษัทต่าง ๆ ตระหนักรู้ถึงประเด็นด้าน ESG และเปิดเผยข้อมูล เพื่อให้นักลงทุนนำไปประกอบการตัดสินใจด้วย
ทำไมต้องทำธุรกิจกับบุคคลที่ 3 และซัพพลายเออร์ที่ที่นึกถึง ESG
การมีส่วนร่วมกับบุคคลที่สามและซัพพลายเออร์ที่ให้ความสำคัญกับการพิจารณาด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) สามารถนำมาซึ่งประโยชน์หลายประการต่อธุรกิจ
1. ลดโอกาสเกิดความเสี่ยง (Risk Mitigation) : ลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับปัญหาสิ่งแวดล้อม ข้อขัดแย้งทางสังคม หรือความล้มเหลวในการกำกับดูแลธุรกิจได้
2. ยกระดับชื่อเสียงธุรกิจ (Reputation) : การทำธุรกิจกับซัพพลายเออร์ที่ยึดมั่นใน ESG จะช่วยสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกของแบรนด์ ผู้บริโภคและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้ความสำคัญกับบริษัทที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นต่อหลักปฏิบัติด้านจริยธรรมและความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) ของตนมากขึ้น
3. ปฏิบัติตามกฎระเบียบ (Regulatory Compliance) : ในแวดวงธุรกิจกำลังเสริมสร้างกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับ ESG รวมถึงร่วมมือกับซัพพลายเออร์ที่มีการทำงานสอดคล้องหรือกระตือรือร้นเพื่อปฏิบัติตามกฎระเบียบ สามารถช่วยให้ธุรกิจก้าวนำหน้าข้อกำหนดด้านกฎระเบียบได้
4. เข้าถึงตลาดและลูกค้า (Markets and Customers) : โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคธุรกิจ B2B มักต้องการให้ซัพพลายเออร์ปฏิบัติตามมาตรฐาน ESG เพื่อให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงตลาดใหม่ ๆ, ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า รวมถึงมีส่วนร่วมในประมูลงานที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน
5. มุ่งเน้นนวัตกรรมและเพิ่มความยืดหยุ่น : การทำธุรกิจกับธุรกิจอื่น ๆ โดยมุ่งเน้นไปที่นวัตกรรมและการปรับตัวให้เข้ากับแนวโน้มที่เกิดขึ้นใหม่ นำไปสู่การนำแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนและนำนวัตกรรมมาใช้ ทำให้ธุรกิจมีความยืดหยุ่นมากขึ้นเมื่อเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของตลาด
6. สร้างความสัมพันธ์ในระยะยาว : การสร้างความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์ที่เห็นความสำคัญของ ESG จะส่งเสริมความร่วมมือกันในระยะยาว เนื่องจากความร่วมมือนี้สร้างขึ้นจากความไว้วางใจ มีเป้าหมายและความมุ่งมั่นร่วมกันต่อความยั่งยืน ซึ่งสามารถนำไปสู่ความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่แข็งแกร่งและยั่งยืนยิ่งขึ้นได้
ค้นหาธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับ ESG จาก Ranking บน D&B ESG Intelligence
ข้อมูลเชิงลึกด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ของ Dun&Bradstreet ช่วยให้การเลือกบุคคลที่สามที่มีจริยธรรมและยั่งยืนง่ายกว่าที่เคย
- ใช้ข้อมูลที่ได้จาก ESG Intelligence สำหรับค้นหาซัพพลายเออร์หรือบุคคลที่สาม ซึ่งสามารถตรวจสอบความเสี่ยงด้าน ESG ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่การเริ่มต้นใช้งานไปจนถึงการติดตามความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง